
เมื่อไปวัดไทยหรือวัดจีน แล้วเห็นรูปปั้นพระที่กันเรียกว่า พระมหากัจจายนะ บ้าง พระสังกัจจายนะ บ้าง หรือ พระสังกัจจายน์ บ้างนั้น หลายคนคงสงสัยว่า ใช่เป็นพระองค์เดียวกันหรือไม่ วันนี้เรามาเล่าสู่กันฟัง
สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะพิเศษของพระมหากัจจายนะ หรือ พระสังกัจจายน์ ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน คือ เป็นรูปพระอ้วน พุงพลุ้ย หน้ายิ้ม อิ่มเอิบ ดูใจดี เป็นพระที่คนนิยมกราบไหว้เพื่อขอโชคลาภหรือเมตตาบารมี
ตามประวัติ "พระมหากัจจายนะ” คือ พระอรหันต์ ๑ ใน ๘๐ พระอิสีติมหาสาวก (พระสาวกผู้ใหญ่หรือสำคัญในสมัยพุทธกาล)ของพระโคตมพุทธเจ้า ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะหรือผู้เป็นเลิศในด้านผู้อธิบายเนื้อความโดยย่อให้พิสดาร กล่าวคือ ท่านเก่งที่จะอรรถาธิบายความย่อๆที่คนฟังไม่เข้าใจ มาขยายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น อดีตท่านเป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อว่า"กัญจนะ”ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เป็นศิษย์ของอสิตดาบส (หนึ่งในพราหมณ์ที่ทำนายว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรรดิหรือพระพุทธเจ้าในอนาคต) ท่านได้รับการศึกษาตามอย่างตระกูลพราหมณ์ทั้งหลายจนจบไตรเพท เมื่อบิดาเสียชีวิต ท่านก็ได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทน ต่อมาเมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตได้ทรงทราบว่าพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว จึงสั่งให้กัจจายนะปุโรหิตไปทูลเชิญเสด็จ ท่านก็ทูลขอลาบวชไปด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ท่านก็ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมบริวารอีก ๗ คน ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาจบลง ท่านและบริวารก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธองค์ ภายหลังท่านก็ได้ช่วยเผยแผ่พุทธศาสนาจนมีพุทธสาวกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุที่ท่านมหากัจจายนะเถระ เป็นหนุ่มรูปงาม มีผิวเหลืองดุจทอง จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่คนทั่วไป โดยเฉพาะพวกสตรีเพศ ไม่ว่าท่านจะไปไหนก็จะพากันไปเฝ้าแห่แหนตามดูตามชม จนเป็นที่ขัดขวางต่อการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ก็คงเหมือนติ่งที่ตามไปกรี๊ดดารานักร้องที่ตนชื่นชอบในปัจจุบันนั่นแหละ และนอกจากสาวๆ แล้ว ปรากฏว่ายังมีบุตรชายเศรษฐีอีกคนชื่อ "โสเรยยะ” เห็นท่านเข้าถึงกับเพ้อรำพึงว่า "งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้” ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เขากลายเพศเป็นหญิงไปในทันที เขาอับอายมาก จึงหนีไปอยู่เมืองตักสิลา ต่อมาได้เป็นเมียลูกชายเศรษฐีของเมืองนั้น จนมีลูกด้วยกันอีก ๒ คน (ตอนเป็นชายก็มีเมียและลูกอยู่ก่อนแล้ว) ภายหลังเมื่อพระมหากัจจายนะเถระได้จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะก็ได้มากราบขอขมาลาโทษต่อท่าน ทำให้ท่านเพิ่งได้ทราบเรื่องทั้งหมด ท่านก็ยกโทษให้ โสเรยยะจึงได้กลับมาเป็นชายดังเดิม และเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อพระเถระ อีกทั้งเมื่อย้อนคิดไปว่าตนเองเป็นคนแปลกที่เคยเป็นทั้งชายและหญิง เป็นพ่อและแม่ รวมถึงเป็นผัวและเมียในคนๆเดียวกันและชาติเดียวกัน จึงคิดว่าตนไม่น่าจะอยู่ในเพศฆราวาสต่อไป พอคิดได้ดังนั้นก็ได้มอบบุตรธิดาทั้งหมดให้บิดามารดาเลี้ยงดู ส่วนตนก็ขอบวชต่อพระเถระและได้บรรลุพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
นอกจากจะทำให้สาวๆ หลงใหล ทำให้บุรุษหนุ่มเพ้อจนเกิดอกุศลจิตดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า พระภิกษุ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายเมื่อเห็นพระมหากัจจายนะเถระเดินมาแต่ไกล มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระบรมศาสดา แล้วพากันเคารพกราบไหว้ ทั้งนี้ เพราะท่านมีรูปลักษณ์ละม้ายพระพุทธองค์นั่นเอง ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ ท่านคงรำคาญใจและอยากตัดปัญหา จึงทูลขออนุญาตจากพระพุทธเจ้าขอแปลงกายไม่ให้งดงามหล่อเหลาเช่นเดิม เมื่อมีพระพุทธานุญาต พระมหากัจจายนะจึงได้ใช้ฤทธิ์อภิญญาแปลงตัวท่านให้อ้วนพุงพลุ้ย ท้องมีขนาดใหญ่มากจนต้องเอามืออุ้มไว้ แต่ใบหน้ายังคงอวบอิ่มแย้มยิ้มด้วยเมตตา ด้วยเหตุนี้ แม้คนจะเลิกหลงใหลในหน้าตาของท่าน แต่ก็ยังติดใจในเมตตาบารมีที่ปรากฏ เพราะคนหน้ายิ้มคงชวนให้รู้สึกดีและน่าเข้าใกล้ ดังนั้น จึงยังมีผู้มาทำบุญกับท่านอยู่เสมอๆ และหากหมู่สงฆ์จำนวนมากต้องเดินทางจาริกไปที่ใด หากพระสิวลี ซึ่งเป็นพระอรหันต์แห่งโชคลาภไปด้วยไม่ได้ พระพุทธองค์ก็มักจะให้พระมหาสังกัจจายนะไปแทน เพื่อว่าหมู่สงฆ์จะได้ไม่ติดขัดเรื่องบิณฑบาต ซึ่งก็มักจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้หมู่บ้านนั้นจะไม่มีคนมากก็ตาม (เพราะพระสิวลีและพระมหากัจจายนะต่างก็มีบุญบารมีสะสมมาแต่อดีตชาติที่ทำให้ไปไหนๆ แม้จะเป็นที่ทุรกันดาร ก็ไม่เคยขาดแคลนผู้มาทำบุญด้วย) ดังนั้น ท่านจึงเป็นพระที่คนนิยมมาขอโชคขอลาภอยู่เสมอ และอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของท่านเป็นพระอ้วนพุงใหญ่ หน้าตาใจดี คล้ายกับพระยิ้มในวัดจีน จึงมีการเรียกสับสน จนเพี้ยนเป็น "พระสังกัจจายน์” ต่อมาภายหลัง
"พระสังกัจจายน์” ที่ว่าเรียกเพี้ยนไปนี้ บางแห่งก็ว่าเป็นองค์เดียวกับพระมหากัจจายนะ บางแห่งก็ว่าเป็นคนละองค์ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีลักษณะอ้วนพุงพลุ้ยคล้ายกัน ถ้าเป็นพระจีน จะมีใบหน้ายิ้มมากกว่าหรือไม่ก็เป็นรูปหัวเราะ ที่ศีรษะจะโล้น ไม่มีผมอยู่เลย และมักจะอยู่ในท่านั่งสบายอารมณ์ จีวรมักหลุดจนเห็นท้องและอกชัดเจน บางรูปท่านจะมีรูปเด็กชายปีนป่ายอยู่รอบตัว ถ้ามีเด็กจำนวน ๕ คน จะแฝงความหมายถึง "อู่ฝู่” หรือ "ความสุข ๕ ประการ ได้แก่ อายุมั่นยืนยาว มั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง ประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี และตายอย่างสงบสุข (บางตำราก็เปลี่ยนบางข้อเป็น มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง) ส่วนพระกัจจายนะจะมีผมอยู่บ้าง และห่มไตรจีวรครบถ้วน
ตามตำราจีน "พระสังกัจจายน์” เป็นพระในพุทธศาสนาสายมหายาน มีนามว่า "ปู้ไต้-หลอฮั่น” เป็น ๑ ใน ๑๘ อรหันต์ที่รู้จักกันดีของจีน มีชีวิตอยู่จริงสมัยราชวงศ์เหลียงเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว คำว่า "ปู้ไต้” แปลว่า กระสอบใบใหญ่ เพราะท่านชอบสะพายกระสอบใบใหญ่ติดตัวเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ โดยในกระสอบจะมีอาหารและขนมไว้แจกเด็กๆ และคนจน จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์แห่งความใจบุญสุนทานที่ท่านมีต่อผู้ยากไร้ และความใจดีที่มีต่อเด็กๆ แต่บางแห่งก็ตีความว่า กระสอบใบใหญ่ หมายถึง ความทุกข์ยากของมวลมนุษย์ที่ท่านช่วยแบกรับไว้ บางแห่งก็ว่า กระสอบของท่านเป็นกระสอบใส่โชคลาภและความมั่งคั่ง ส่วนท้องที่อ้วนใหญ่ของท่านก็คือ ความสุขสมบูรณ์ ดังนั้น ชาวจีนจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการลูบท้องของท่าน เพราะเชื่อว่าในท้องเต็มไปด้วยความสุข เมื่อลูบแล้วจะดึงความสุขมาสู่ตัวเรา แต่บางคนกลับเชื่อว่า ลูบท้องท่านก็เพื่อให้ความทุกข์ไหลเข้าไปในกระสอบของท่าน ก่อนท่านเสียชีวิต ท่านได้เขียนบอกไว้ว่าท่านคือพระเมตไตรย์ หรือพระโพธิสัตว์ที่จะเกิดเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์พระพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง
................................................................
น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท ที่ปรึกษากรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ภาพ : palungjit.org, victorytale.com