
ในจำนวนลูกๆ พันกว่าตนของทศกัณฐ์ที่เกิดจากเมียยักษ์ เมียช้าง เมียกบ และเมียปลาทั้งหลาย ลูกที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด และทำให้ทัพพระรามเกือบเจอทางตันหลายครั้ง คงไม่มีใครเกิน "อินทรชิต”
"อินทรชิต” มีชื่อเดิมว่า "รณพักตร์” เป็นลูกของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ มีมเหสีชื่อว่า นางสุวรรณกันยุมา มีลูก ๒ คนชื่อ ยามลิวันและกันยุเวก มีสีกายเป็นสีเขียว เป็นยักษ์ที่เก่งกล้าสามารถและเป็นลูกรักตนหนึ่งของทศกัณฐ์ เมื่ออายุได้สิบห้าก็ร่ำลาไปศึกษาวิชากับพระฤษีโคบุตร พระอาจารย์เดียวกับพระบิดา เรียนจนจบครบถ้วนทุกวิชา รวมถึงมนต์มหากาลอัคคี อันเป็นมนต์สำหรับกระทำบูชามหาเทพทั้งสาม ก็กราบลาพระอาจารย์ไปบำเพ็ญตบะจนแก่กล้า จากนั้นได้ไปนั่งภาวนาอยู่ท่าเดียวนานถึง ๗ ปีเพื่อบูชาองค์มหาเทพ จนพระเป็นเจ้าทั้งสามได้เสด็จมาปรากฏองค์เฉพาะหน้า รณพักตร์จึงได้ขอประทานพรและอาวุธวิเศษ ด้วยเห็นแก่ความตั้งมั่นและศรัทธาอันแก่กล้าที่มีต่อองค์เทพ พระอิศวรจึงได้ประทานศรพรหมาสตร์และพรให้สามารถแปลงร่างเป็นพระอินทร์ได้ ส่วนพระพรหมประทานศรนาคบาศ และพรที่ว่าหากเศียรตกลงพื้นจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ต้องนำพานแว่นฟ้าของพระองค์มารองรับถึงจะไม่เป็นไร สำหรับพระนารายณ์ ทรงประทานศรวิษณุปาณัม ให้เพียงอย่างเดียว จากความรู้ความสามารถ รวมกับพรและอาวุธวิเศษที่ได้รับมา อาจกล่าวได้ว่า ตอนนั้น "รณพักตร์” ถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่หาใครเทียบเคียงได้ยาก
ศึกแรกที่ รณพักตร์ ผู้ฮึกเหิม ได้รับมอบหมายคือ การไปท้ารบกับพระอินทร์ ตามที่พ่อสั่ง และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะรบครั้งแรกก็ได้ชัยชนะ ทำให้ทศกัณฐ์ปลื้มอกปลื้มใจมากถึงกับเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ว่า "อินทรชิต” อันมีความหมายว่า "ผู้ชนะพระอินทร์”
ต่อมาเมื่อกุมภกรรณ น้องชายทศกัณฐ์สิ้นชีพด้วยศรพระราม ทศกัณฐ์จึงได้เรียกอินทรชิตมาช่วยรบเพื่อแก้แค้น ซึ่งการรบกับทัพพระรามคราวแรก พระรามส่งพระลักษณ์ไปต่อสู้ ไม่มีใครแพ้ใครชนะ อินทรชิตเห็นว่าศัตรูมีกำลังกล้าแข็ง จึงขอเวลาไปทำพิธี "ชุบศรนาคบาศ” ในโพรงไม้โรทัน เพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์ของศร โดยระหว่างนั้นทศกัณฐ์ได้มอบให้ "มังกรกัณฐ์” ผู้เป็นหลานไปรบขัดตาทัพไว้ก่อน แต่ก็ถูกศรพระรามตายไป ทศกัณฐ์จึงต้องให้ "วิรุญมุข”โอรสท้าววิรุญจำบัง (ยักษ์ลูกพี่ลูกน้องของทศกัณฐ์) ออกไปรบกันท่าไว้ต่อ เพราะยังชุบศรไม่เสร็จ จนพระรามสงสัยว่าอินทรชิตหายไปไหน พิเภกจึงได้ทูลบอก พระองค์จึงให้ "ชามพูวราช” พญาลิงในกองทัพไปทำลายพิธี โดยได้แปลงเป็นหมีใหญ่ไปกัดไม้โรทันจนหักโค่น ทำให้ทำพิธีต่อไม่ได้ อินทรชิตกริ้วมาก ระหว่างเดินทางกลับเจอวิรุณมุขที่เสียทีแพ้กลับมา จึงให้วิรุณมุขปลอมเป็นตนเองไปสู้ใหม่ ส่วนตัวเองได้ไปซ่อนตัวบนอากาศรอจังหวะแผลงศรสังหารข้าศึก ซึ่งแม้ศรนาคบาศจะชุบไม่สำเร็จแต่ก็ยังมีฤทธิ์เดชไม่น้อย เพราะเมื่อแผลงไปแล้วก็กลายเป็นพญานาคมากมายเลื้อยไปรัดพระลักษณ์กับพลพรรควานรทั้งหมด แล้วพ่นพิษใส่ทั้งกองทัพจนสลบไสลไปตามๆ กัน เป็นเหตุให้พระรามเข้าใจผิดคิดว่าพระลักษณ์ตายไปแล้วก็เศร้าเสียใจ จนพิเภกต้องทูลวิธีแก้ ด้วยการให้พระรามแผลงศรไปเรียกพญาสุบรรณ จ้าวแห่งครุฑมาขับไล่และดูดพิษนาคในตัวพระลักษณ์และบริวารลิงทั้งหลายออกมา จึงฟื้นกันได้ในที่สุด
รบครั้งนี้ถูกแก้กลศึกได้ อินทรชิตจึงเตรียมทำ "พิธีชุบศรพรหมาสตร์” เพื่อจะใช้อาวุธวิเศษจัดการกับกองทัพพระรามต่อไป แต่การชุบศรดังกล่าว มีเคล็ดว่าในช่วงทำพิธีห้ามใครมารบกวนเด็ดขาด ระหว่างนี้ทศกัณฐ์จึงให้ "กำปั่น” ขุนพลยักษ์ของตนออกรบไปพลางก่อน ปรากฏว่ารบไม่ทันไร ถูกหนุมานฆ่าตายไปอย่างรวดเร็ว ทศกัณฐ์ตกใจจนลืมคำห้าม ใช้เสนาไปเรียกอินทรชิตระหว่างพิธี ทำให้พิธีล้มไปอีกครั้ง อินทรชิตแม้จะโมโหมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพ่อสั่งมา จึงหาวิธีแก้ด้วยการร่ายเวทครบพันจบ แล้วฆ่าสัตว์ที่จับมาเอาเลือดอาบศรแทน ครั้นออกรบอินทรชิตได้แปลงกายเป็นพระอินทร์ พร้อมให้เหล่าเสนายักษ์แปลงเป็นช้างทรงเอราวัณ และขบวนเทวดานางฟ้าตามเสด็จ อลังการจนพระลักษณ์เห็นเข้าก็ตกตะลึงในความสง่างามนั้น จึงเป็นโอกาสให้อินทรชิตแผลงศรพรหมาสตร์ใส่พระลักษณ์จนล้มหมดสติไป หนุมานเห็นดังนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนงาหมายจะหักคอช้างเอราวัณ แต่ถูกอินทชิตฟาดตกลงมาสลบไปเช่นกัน ฝ่ายพระรามเมื่อมาเห็น คิดว่าพระลักษณ์ตายแล้ว ก็เศร้าเสียใจจนสิ้นสติไปอีกองค์ ครั้นพิเภกตามมาพบ ก็บอกวิธีแก้ให้พระรามทราบ จากนั้นได้ร่ายเวทเป่าลมเข้าปากจนหนุมานฟื้น แล้วให้หนุมานไปนำยามาแก้ จนพระลักษณ์และลิงทั้งหลายที่โดนพิษศรฟื้นคืนสติได้ในที่สุด
จากที่เห็นพระลักษณ์สลบปางตายมาสองครั้งก็ยังฟื้นขึ้นมาได้ อินทรชิตจึงทูลทศกัณฐ์ว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ตนคิดจะนำตำราศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่า "กุมภนิยา” มาใช้ต่อสู้ ซึ่งถ้าทำพิธีครบเจ็ดวัน จะมีกายกายสิทธิ์ ฆ่าไม่ตาย ดังนั้น ในระหว่างนี้จะทำกลลวง โดยให้ "นางสุขาจาร” แปลงเป็นนางสีดา แล้วพาไปสนามรบ ทำทีตัดคอนางเสีย จากนั้นจะแกล้งไปตีเมืองศรีอยุธยา แต่จริงๆ จะอ้อมกลับไปทำพิธี ครั้นถึงสนามรบ อินทรชิตบอกให้พระลักษณ์มารับนางสีดา ไม่งั้นจะฆ่านางเสีย พระลักษณ์บอกให้อินทรชิตนำนางไปถวายพระรามเอง อินทรชิตจึงฆ่านาง แล้วทำทีเหาะไปตีกรุงศรีอยุธยา พระลักษณ์เห็นนางสีดาตายก็เสียใจ นำความกลับไปบอกพระราม แต่พิเภกจับยามดูแล้ว ก็ทูลให้พระรามทราบว่านางยังไม่ตาย และอินทรชิตกำลังจะไปทำพิธีกุมภนิยา ต้องล้างพิธีให้ได้ก่อนครบเจ็ดวัน แล้วอินทรชิตจะตายด้วยพระลักษณ์ พระรามจึงให้พระลักษณ์พร้อมพิเภกคุมกองทัพไปทำลายพิธีดังกล่าวที่เนินเขาจักรวาล ระหว่างสู้กันไปสู้กันมา อินทรชิตเห็นว่าสู้ต่อไปต้องแพ้แน่ จึงได้ขว้าง "จักรเมฆสูร” เกิดเป็นหมอกควันบังแสงอาทิตย์ แล้วจึงหนีกลับกรุงลงกา กลับมาครั้งนี้บาดเจ็บสาหัส นางมณโฑผู้เป็นแม่จำได้ว่าเคยได้รับพรจากพระแม่อุมาที่ตนเคยรับใช้ใกล้ชิดให้น้ำนมจากถันเป็นน้ำทิพย์ใช้ชุบชีวิตได้ จึงให้อินทรชิตดื่มนมตน ทำให้ร่างกายฟื้นคืนเป็นปกติ นางมณโฑได้ไปขอร้องให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดาไป แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอมและยังโมโหนางอีก ที่สุดอินทรชิตจำต้องออกไปรบอีกครั้ง เมื่อร่ำลาพ่อแม่และลูกเมียแล้ว ก็ได้นำ "ศรสุรกานต์” ของทศกัณฐ์ไปรบด้วย แต่ศึกครั้งนี้กลับเป็นศึกครั้งสุดท้าย เพราะอินทรชิตได้ถูกศรของพระลักษณ์ตัดคอขาดถึงแก่ความตายกลางอากาศ ดีว่าพิเภกให้องคตไปขอพานแว่นฟ้ามาจากพระพรหมไว้ก่อน จึงทันมารองรับศีรษะอินทรชิตไม่ให้ตกไปยังพื้นดินจนเกิดไฟบรรลัยกัลป์ขึ้น จากนั้นพระรามยังได้แผลงศรเผาทำลายศีรษะนั้นจนหมดสิ้น ทศกัณฐ์ได้ทราบข่าวลูกรักถึงแก่ความตาย ก็โมโหจนเกือบจะฆ่านางสีดาทิ้ง แต่เสนาอำมาตย์ยักษ์ได้ห้ามและเตือนสติไว้ได้ทัน
อันที่จริง "อินทรชิต” เป็นยักษ์ที่ครบเครื่องทั้งเรื่องอาวุธและความสามารถ หากฝ่ายพระรามไม่มีพิเภกเป็นกุนซือและบอกความลับแก้ทางอาวุธต่างๆ ของอินทรชิตแล้ว คงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่ยกแรกๆ ก่อนตายอินทรชิตถึงได้คร่ำครวญว่า "เสียแรงศึกษาในการศร เสียชีวิตเพราะน้องพระบิดร มาเบียดบ่อนสาวไส้ให้กากิน”
...................................................
น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท ที่ปรึกษากรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ภาพ : www.trueplookpanya.com