
เรื่องเล่าในสมัยพุทธกาล มีธิดาเศรษฐีแห่งเมืองภัททิยะ แคว้นอังคะ นามว่า นางวิสาขา บุตรสาวของท่านธนัญชัยเศรษฐีและนางสุมนาเทวี ผู้มีจิตเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ขณะอายุได้เพียง ๗ ขวบ นางได้มีโอกาสฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เมณฑกเศรษฐี ผู้เป็นปู่ ก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน (โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระธรรม ผู้แรกบรรลุถึงกระแสพระธรรม คือ การบรรลุโสดาบัน) และเมื่อเติบใหญ่ได้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถีและย้ายมาอยู่ตระกูลสามี วันหนึ่งนางวิสาขา มหาอุบาสิกา ให้สาวใช้นำภัตตาหารมาถวายพุทธบุตรยังพระเชตวัน เมื่อสาวใช้มาถึงก็ร้องอุทานว่า "พุทธบุตรหายไปไหนหมด มีแต่อาชีวก (นักบวชชีเปลือย) อยู่เต็มไปหมด" นางรีบกลับไปแจ้งนางวิสาขาผู้เป็นนายทันที ด้วยปัญญาแห่งนางผู้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบ จึงทราบว่าอาชีวกที่สาวใช้เห็นนั้นคือพุทธบุตรที่พากันปลดจีวร เพื่ออาบน้ำฝนตามพุทธโองการของพระผู้มีพระภาคเจ้า และด้วยความที่นางเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์จึงทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอยเพียง ๓ ผืน คือ ไตรจีวร ได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) และ สังฆาฎิ (ผ้าห่มซ้อน นอกใช้เวลาอากาศหนาว) ดังนั้น เมื่อเวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ ดังนั้นนางวิสาขา จึงอาศัยเหตุนี้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่บ้านและเสร็จภัตกิจแล้ว นางวิสาขาจึงได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตตามที่ขอนั้น นางวิสาขาจึงเป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์จนเกิดประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ผ้าอาบน้ำฝน หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า ผ้าอาบ (ผ้าวัสสิกสาฎก) คือ ผ้าสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝนหรืออาบน้ำทั่วไป การถวายผ้าอาบน้ำฝนให้พระภิกษุนั้น เป็นประเพณีสำคัญอีกประการในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเพื่อให้ท่านได้ใช้สำหรับอาบน้ำในช่วงฤดูฝน ซึ่งจัดเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมามีเพียงปีละครั้งก่อนเข้าพรรษา คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ เป็นต้อนไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ โดยจะเลือกช่วงเวลาไหน วันใด ก็ได้ในช่วงเวลานี้ซึ่งขนาดของผ้าอาบน้ำฝนนั้น กำหนดมาตรฐานไว้ว่าต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ โดยประมาณที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ คือ เป็นผ้าผืนยาว ๖ คืบ พระสุคตกว้าง ๒ คืบครึ่ง คิดโดยประมาณของช่างไม้ปัจจุบันยาวรวม ๔ ศอก กับ ๓ กระเบียด กว้างศอกคืบ ๔ นิ้ว ๑ กระเบียด กับ ๒ อนุกระเบียด ถ้าทำให้ยาวหรือกว้างเกินประมาณนี้ไป พระภิกษุใช้สอยต้องอาบัติ ต้องตัดส่วนที่กว้างหรือยาวเกินประมาณนั้นออกเสีย จึงแสดงอาบัติได้
โดยมีพิธีการและขั้นตอนการถวายผ้าอาบน้ำฝน ดังนี้
๑ . เมื่อถึงวันกำหนดแล้ว พึงประชุมพร้อมกันตามสถานที่ที่ได้กำหนดไว้ จะเป็นพระอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญ นำผ้าอาบน้ำฝน ๑ ผู้นำและของถวายอย่างอื่นเป็นบริวาร เช่น ร่ม พุ่มเทียน ไม้ขีด สบู่ ยาสีฟัน กระดาษชำระ ฯลฯ
๒ . เมื่อพระสงฆ์ลงประชุมเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวคำถวาย
๓ . เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว เจ้าของผ้าประเคนผ้าแก่พระภิกษุผู้จับได้ฉลากของตนเป็นราย ๆ ต่อไป
๔ . เสร็จการประเมินแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา ทายกกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว
สำหรับอานิสงส์ในการถวายผ้าอาบน้ำฝน
มีความเชื่อที่ถือกันมานานว่า ผู้ใดที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนให้กับพระภิกษุสงฆ์ จะถือว่าเป็นการทำบุญที่ช่วยทำนุบำรุงและสนับสนุนพระศาสนาให้คงอยู่สืบไป และเพื่อมิให้พระภิกษุสงฆ์ต้องลำบากในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนแต่จะได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาและช่วยเผยแผ่ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบไป และผู้ที่ได้บริจาคผ้าอาบน้ำฝน ก็จะได้พบแต่ความสุขความเจริญ จะมั่งมีด้วยทรัพย์สินเงินทองและบริวารมากมาย เมื่อสิ้นบุญไปแล้วก็จะไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์เสวยทิพยสมบัติสืบไป
.......................................
ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (http://www๑.onab.go.th/) , https://๘๔๐๐๐.org/anisong/๑๓.html, https://www.sanook.com/horoscope/๖๖๕๓๓/