วันฉัตรมงคล ซึ่งตรงกับ วันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปีนั้นเป็นวันที่มีความสำคัญกับเหล่าพสกนิกรชาวไทย ที่จะได้น้อมระลึกถึงการครบรอบปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงประกอบพิธีพระบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ ลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ของประเทศไทยโดยสมบูรณ์
เมื่อในสมัยอดีตนั้น ยังไม่มีการจัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคล จะมีแต่พนักงานฝ่ายหน้าฝ่ายในพระบรมมหาราชวัง จัดงานสมโภชเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในเดือนหก จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงกระทำพิธีพระบรมราชาภิเษก ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า "วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย ประเทศทั้งหลายที่มีพระเจ้าแผ่นดินครองประเทศย่อมนับถือว่าวันนั้นเป็นวันนักขัตฤกษ์ ต่างก็จะจัดงานขึ้นเป็นอนุสรณ์ ส่วนในประเทศของเรายังไม่มีควรจะจัดขึ้น และทรงประกาศแก่คนทั้งหลายว่าจะจัดงานวันบรมราชาภิเษกหรืองานฉัตรมงคล”แต่เนื่องจากผู้คนสมัยนั้นยังไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจพระองค์จึงต้องทรงอธิบายชี้แจง และทรงโปรดเกล้าฯให้เรียกชื่อไปตามเก่าว่า งานสมโภชเครื่องราชูปโภค แต่ทำในวันคล้ายวันราชาภิเษก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เนื่องด้วยความยังไม่เข้าใจในเรื่องราวพระราชพิธีฉัตรมงคลของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงทำให้เกิดการคัดค้านการเปลี่ยนแปลงวันจัดพระราชพิธีฉัตรมงคลให้ตรงกับวันราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขและออกเป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูลขึ้น และให้พระราชทานตรานี้ในวันที่ตรงกับวันบรมราชาภิเษก เหล่าข้าราชการจึงยินยอม ในส่วนของประเพณีสมโภชเครื่องราชูปโภคก็มิได้ทรงละทิ้งไปและได้มีการจัดงานพระราชพิธีฉัตรมงคลมาอย่างต่อเนื่อง
จนถึงในรัชกาลปัจจุบัน การจัดงานพระราชพิธีฉัตรมงคลได้มีเปลี่ยนแปลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงโปรดเกล้าฯให้ประกอบพีธีพระราชกุศลรวม ๓ วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม เป็นพิธีสงฆ์ งานพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระพุทธมนต์แล้วพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนา พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุรพการี เพื่ออุทิศถวายแด่พระบรมราชบุรพการี ถัดมาในวันที่ ๔ พฤษภาคม เริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานอัญเชิญเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระมหาปฎลเศวตฉัตร จากนั้นพระราชครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์เย็น
และสุดท้ายในวันที่ ๕ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล ในตอนเช้าทรงพระราชทานภัตตาหารแด่พระสงฆ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชพระมหาเศวตฉัตร และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรงทหารเรือ และทหารบกยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ พร้อมกัน ๒ กอง รวม ๔๒ นัด ต่อมาจะมีพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราจุลจอมเกล้าแก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี หลังจากนั้นจะทรงเสด็จนมัสการ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทเทพบิดร ในพระบรมมหาราชวัง เป็นอันเสร็จสิ้นพระราชพิธีฉัตรมงคล
นับแต่เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”พระองค์ได้ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระราชหฤทัยบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อพสกนิกรของพระองค์ สมดังพระราชปณิธานที่ตั้งไว้ทุกประการ
พระราชกรณียกิจประการหนึ่งที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญควบคู่มากับการพัฒนาประเทศ คือศิลปวัฒนธรรม ท่านทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องอนุรักษ์และสร้างสรรค์ศิลปะวัฒนธรรมของชาติ อันเป็นรากฐานที่สำคัญในการจรรโลงความเจริญทางจิตใจ ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ด้านศิลปะ ทรงสนับสนุน ส่งเสริม และทำนุบำรุงศิลปะประเพณีอันดีงามให้ดำรงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบไป และด้วยพระปรีชาสามารถล้ำเลิศในงานศิลปะทั้งปวงของพระองค์ ทรงมีคุณูปการต่อวงการศิลปะและศิลปินไทยมาโดยตลอด กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมจึงได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา "อัครศิลปิน” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๙ ด้วยพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างทั้งในฐานะองค์อุปถัมภ์แห่งศิลปวัฒนธรรมไทย และในฐานะอัครศิลปินผู้ทรงงานอย่างโดดเด่นให้แก่ศิลปินไทยมาโดยตลอด ก่อให้เกิดศิลปินประดับรัชสมัยเป็นจำนวนมาก และทรงเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรของพระองค์มาโดยตลอด
เนื่องในวโรกาส "วันฉัตรมงคล” วันที่ ๕ พฤษภาคม เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีพระวรกายที่แข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญชาวไทยตลอดไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ และขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมกันน้อมรำลึกถึงการอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยอันใหญ่หลวงและยาวนาน ที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่คนไทยและประเทศไทย ด้วยการทำแต่สิ่งที่ดีอันเป็นมงคลแก่ตนเองแก่บ้านเมือง และ ลด ละ เลิก การทำความชั่ว ความไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของพวกเราชาวไทย
|