
ในบรรดาเมียๆ ของพระอภัยมณีที่ประกอบไปด้วยยักษ์หนึ่ง เงือกหนึ่ง และมนุษย์สามนางนั้น นอกจากนางผีเสื้อสมุทรที่สวยด้วยคาถาอาคมแล้ว แม่เงือกน้อย นางสุวรรณมาลี และนางละเวงก็ล้วนมีหน้าตาสวยสดงดงามและอยู่ในวัยละอ่อนทั้งสิ้น ยกเว้น "นางวาลี” เมียมนุษย์คนที่สี่ ที่ท่านสุนทรภู่ได้บรรยายรูปโฉมนางไว้ว่า
อยู่ภายหลังยังมีสตรีหนึ่ง อายุถึงสามสิบสี่ไม่มีผัว
ชื่อวาลีสีเนื้อนั้นคล้ำมัว รูปก็ชั่วชายไม่อาลัยแล
ทั้งกายาหางามไม่พบเห็น หน้านั้นเป็นรอยฝีมีแต่แผล
เป็นกำพร้ามาแต่หล่อนยังอ่อนแอ ได้พึ่งแต่ตายายอยู่ปลายนา
ดูรูปลักษณะแล้ว นางไม่น่าจะได้มากรายใกล้กับ "พระอภัยมณี”พระเอกของเราได้เลย เพราะไหนจะอายุแยะ เลยวัยแต่งสมัยนั้นมาอักโข ไหนจะตัวดำ หน้าเขรอะด้วยรอยฝี สรุปแล้วทางกายภาพมิได้ชวนมองแม้แต่น้อย และหลายคนคงคิดว่าด้วยความขี้เหร่เช่นนี้ จึงไม่มีหนุ่มไหนมาขอไปเป็นเมีย จนอายุล่วงเลยมาถึงสามสิบกว่า แต่จริงๆ แล้วนางไม่ธรรมดา เพราะนาง "เป็นเชื้อพราหมณ์ความรู้ของผู้เฒ่า แต่ก่อนเก่าเดิมบุราณนานหนักหนา เป็นมรดกตกต่อต่อกันมา นางอุตส่าห์เรียนเล่าจนเข้าใจ” เรียกว่าต้นกำเนิดไม่ต่ำต้อย แถมยังรู้จักศึกษาอ่านตำราจน "รู้ฤกษ์พาฟ้าดินสำแดงเหตุ ทั้งไตรเพทพิธีคัมภีร์ไสย” ดังนั้น แม้รูปจะไม่งาม แต่ความรู้นางมีเพียบ และยังสามารถทำนายดินฟ้าอากาศช่วยตายายรวมทั้งบ้านใกล้เรือนเคียงทำมาหากินได้ และคงเพราะอ่านแยะรู้เยอะ นางจึงมีสเปกสามีสูงกว่าสาวชาวบ้านทั่วไป กล่าวคือ "ถึงรูปชั่วตัวดำแต่น้ำใจ จะใคร่ได้ผัวดีที่มีบุญ ทั้งทรวดทรงองค์เอวให้อ่อนแอ้น เป็นหนุ่มแน่นน่าจูบเหมือนรูปหุ่น แม้นผัวไพร่ไม่เลยแล้วพ่อคุณ แต่คร่ำครุ่นครวญหาทุกราตรี” พูดง่ายๆ ว่า สามีของนางต้องเป็นประเภทหุ่นดี มีระดับ หรือ "หล่อ รวย” พวกกระจอกกิ๊กก๊อก ไม่อยู่ในสายตา
นางวาลีคงเฝ้ารอแล้วรอเล่า จนวันหนึ่ง ความใฝ่ฝันของนางก็เป็นจริง เมื่อ "พอรู้ข่าวเจ้าเมืองผลึกใหม่ พระอภัยพูลสวัสดิ์รัศมี งามประโลมโฉมเฉิดเลิศโลกีย์ นางวาลีลุ่มหลงปลงฤทัย ครั้นรู้ว่าหาทหารชำนาญศึก ก็สมนึกยินดีจะมีไหน อันสงครามความรู้เราเรียนไว้ จะเข้าไปเป็นห้ามพระทรามเชย” ในคราวนั้น เมื่อพระมเหสีท้าวสิลราช เจ้าเมืองผลึกได้ยกนางสุวรรณมาลีและเมืองผลึกให้พระอภัยมณี อุศเรนเจ้าชายเมืองลังกาซึ่งเป็นคู่หมั้นนางสุวรรณมาลีไม่ยินยอม จึงเกิดศึกสงครามกันขึ้น พระอภัยมณี พ่อเมืองใหม่จำเป็นต้องประกาศหาผู้มีฝีมือมาช่วยทำศึก นางวาลีเห็นเป็นโอกาสดีที่ตนจะได้สามีตามที่หวัง กอปรกับมั่นใจในวิชาความรู้ที่มีอยู่ จึงเตรียมจะไปสมัคร ตายายได้ยินดังนั้นก็ปรากฎอาการ "หัวร่อร่าว่าอุแหม่เจ้าแม่เอ๋ย กระไรเลยเหลือดีเหมือนอีหนู ถวายตัวเป็นอะไรจะใคร่รู้ ไม่พิศดูรูปร่างหรืออย่างไรฯ นางบอกว่าข้าจะไปเป็นหม่อมห้าม คงสมความปรารถนาอย่าสงสัย ทั้งเมียผัวหัวร่ององอไป ร้องเรียกให้เพื่อนบ้านช่วยวานแล หลานข้าเจ้าเขาจะไปเป็นหม่อมห้าม มันเหลืองามอยู่เพียงนี้แล้วอีแม่ กูเห็นการท่านจะเอาไว้เป่าแตร ไฉนแน่กระนี้มาข้าขอฟังฯ” นี่ขนาดผู้เลี้ยงดูนางมายังเห็นขำในความใฝ่สูงของหลานสาว ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงพวกขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายที่ต่างก็หัวเราะเยาะที่นางวาลีไม่เจียมตัว พยายามจะกีดกันไม่ให้นางพบเจ้าเหนือหัว แต่คนมีปัญญาเช่นนางหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ นางสามารถใช้วาทศิลป์โต้ตอบจนที่สุดก็ได้พบว่าที่พระสวามี (ที่นางหวัง) สมดังปรารถนา พระอภัยมณีพินิจพิจารณาแล้ว ก็รู้ว่านางวาลีแม้จะดูอัปลักษณ์ แต่ต้องมีดีไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่สามารถผ่านด่านต่างๆ มาจนพบพระองค์ได้ ครั้นได้ทดสอบความรู้ดู ก็คิดว่าจะมอบตำแหน่งแห่งที่ให้ ดังนั้น"พระแย้มยิ้มพริ้มพักตร์พจมาน เจ้าว่าขานเข้าแบบเห็นแยบคาย จะเลี้ยงไว้ได้เป็นที่ปรึกษา ช่วยตรึกตราตรองงานการทั้งหลาย จะเป็นพี่เลี้ยงเจ้าขรัวนาย หรือรักฝ่ายกรมท่าเสนาใน” พระอภัยมณีได้เสนอหลายตำแหน่งให้นางเลือก แต่สาวมั่นอย่างนาง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน นางจึงตอบว่า "นางนบนอบตอบรสพจนารถ คุณพระบาทกรุณาจะหาไหน แต่ยศศักดิ์จักประทานประการใด ไม่ชอบใจเจตนามาทั้งนี้ ด้วยเปลี่ยวใจไม่มีที่จะเห็น จะขอเป็นองค์พระมเหสี แม้นโปรดตามความรักจะภักดี ถ้าแม้นมิเมตตาจะลาไป” อุแม่เจ้า ! อ้าปากก็ขอเป็นเมียเอกเลย ใครฟังใครก็ขำ กระนั้นพระอภัยมณีก็ยังไม่ตัดรอน แต่เตือนว่าถ้าจะขอตำแหน่งถึงมเหสีก็ควรนึกถึงหน้าตาตัวเองด้วย ได้ฟังเช่นนั้น นางวาลีจึงว่า "ข้าน้อยนี้รูปชั่ว ก็รู้ตัวมั่นคงไม่สงสัย แต่แสนงามความรู้อยู่ในใจ เหมือนเพชรไพฑูรย์ฝ้าไม่ราคี แล้วหมายว่าฝ่าพระบาทก็มีห้าม ล้วนงามงามเคยประณตบทศรี แต่หญิงมีวิชาเช่นข้านี้ ยังไม่มีไม่เคยเลยทั้งนั้น” นางบอกพระอภัยมณีว่า นางรู้ตัวดีว่าไม่ใช่สาวงาม ถ้าจะหาสาวงามสนมนางในพระองค์ก็มีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะหา "สาวเจ้าปัญญา” อย่างนางยังไม่เคยมีในวังหลวง แล้วยังพูดดักคอไว้อีกว่า การที่นางอาสามาครั้งนี้ ก็เพี่อช่วยให้เกียรติยศของพระอภัยมณีแผ่ไพศาลยิ่งขึ้น หากพระองค์คิดแต่จะหาสาวสวย ไม่รู้จักหาปราชญ์ผู้มีความรู้มาช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง ต่อไปคนเก่งคนดีที่ไหนจะมาทำงานด้วย ด้วยวาทศิลป์ที่มีทั้งลูกล่อลูกชน ที่สุดพระอภัยมณีก็รับนางไว้ แต่ด้วยยังไม่เห็นฝีมือ ดังนั้น เอาตำแหน่งพระสนมไปก่อนก็แล้วกัน อย่าถึงขั้นพระมเหสีเลย นางวาลีก็ตกลง
และแล้วนางวาลีก็มิได้ทำให้พระอภัยมณีต้องผิดหวัง เพราะภารกิจแรกที่นางทำสำเร็จคือ การวางกลอุบายหลอกล่อนางสุวรรณมาลี ธิดาอดีตเจ้าเมืองผลึกที่งอนตุ๊บป่องไปบวช ไม่ยอมกลับเมือง เพราะโกรธและน้อยใจที่พระอภัยมณีมาเกี้ยวให้นางรับรัก แล้วดันจะยกนางคืนให้กับอุศเรนคู่หมั้นเดิม ด้วยเห็นแก่บุญคุณที่ อุศเรนเคยช่วยตนไว้ นางวาลีเป็นหญิงฉลาดและเข้าใจความรู้สึกของหญิงด้วยกัน จึงบอกให้พระอภัยมณีจัดเตรียมงานอภิเษกไว้ล่วงหน้า ทำให้นางสุวรรณมาลีคิดว่าพระอภัยมณีจะแต่งนางวาลีเป็นมเหสี คงเพราะกลัวจะเสียคนรัก นางจึงยอมสึกและกลับมาอภิเษกสมรสกับพระอภัยมณีได้ในที่สุด จะว่าไปแล้ว หากจะนับตามลำดับจริงๆ นางวาลีได้เป็นพระสนมก่อนนางสุวรรณมาลี น่าจะเป็นเมียอันดับสามของพระอภัยมณี แต่เพราะเป็นเมียรอง จึงจัดไว้เป็นเมียอันดับสี่
ส่วนภารกิจสำคัญคือ ศึกระหว่างเมืองผลึกกับเมืองลังกา นางวาลีก็ได้ช่วยวางแผนกลศึก จนรบชนะ และจับอุศเรนไว้ได้ แต่พระอภัยมณีตั้งใจจะปล่อยอุศเรนเพราะยังจดจำบุญคุณที่อุศเรนช่วยตนขึ้นเรือจากเกาะได้อีกครั้ง หลังจากถูกนางผีเสื้อสมุทรอาละวาดจนเรือเดิมที่อาศัยมากับท้าวสิลราชและนางสุวรรณมาลีแตก ต้องพลัดหลงกับสินสมุทรไปคนละทิศละทาง (และด้วยบุญคุณนี้แหละ ที่ทำให้พระอภัยมณีกลืนไม่เข้า คายไม่ออก จำยอมคืนนางสุวรรณมาลีให้อุศเรน จนนางงอนไปบวชดังที่เล่าข้างต้น) เห็นท่าพระอภัยมณีจะปล่อยอุศเรนไป นางวาลีจึงเตือนสติพระองค์ว่า "ประเวณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักจะทำร้ายเมื่อภายหลัง จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังเข้าดงก็คงร้าย อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย ต้องตำรับจับให้มั่น คั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครัน” อย่างไรก็ดี ดูแล้วพระอภัยมณีคงใจอ่อน มีโอกาสปล่อยอุศเรนไปแน่ นางจึงวางแผน "จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเจ้าลังกาให้อาสัญ” เพราะรู้ว่าอุศเรนเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีคนหนึ่ง แค่โดนจับก็อับอายขายหน้าต่อศัตรูอยู่แล้ว ครั้นถูกนางวาลีพูดจาถากถาง ดูหมิ่นซ้ำทำนองว่า ให้ปล่อยตัวไปก็ได้ จะได้รีบกลับไปดูใจท้าวสิงหลพระบิดาที่ถูกธนูยิงก่อนจะตาย อุศเรนได้ยินดังนั้น ก็คงคิดว่าตนเป็นเหตุให้พ่อต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ก็ยิ่งทั้งโกรธทั้งเสียใจ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจจนกระอักเลือดออกมา และถึงแก่ความตายไปในที่สุด แต่หลังจากที่อุศเรนตายไปแล้ว ด้วยความแค้นจึงกลับมาเป็นปีศาจสิงร่างนางวาลีจนนางป่วยหนัก ไม่สามารถรักษาได้ ท้ายที่สุดจึงตกตายไปตามกัน เป็นที่โศกเศร้าของพระอภัยมณีไม่น้อย เพราะเสียทั้งเมียและกุนซือที่ฉลาดปราดเปรื่องไปในคราวเดียวกัน หลังจากพ่อและพี่ชายตายไป นางละเวงน้องสาวจึงได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองลังกาแทน และต่อสู้กับเมืองผลึกยืดเยื้อต่อมา จนสุดท้ายพระอภัยมณีก็ได้นางมาเป็นเมียอีกคน
สำหรับ "นางวาลี” นี้ แม้จะปรากฎตัวอยู่ในช่วงสั้นๆ แต่นับว่านางมีสีสันไม่น้อย โดยเฉพาะสามารถใช้ "วาจา” กล่อมพระอภัยมณี พระเอกหนุ่มหล่อของเราจนยอมรับนางเป็นเมียได้ เป็นหญิงมั่นที่รู้ความต้องการตนชัดเจน ไม่หวั่นไหวแม้ใครจะเยาะเย้ยดูถูก และทำให้เราเห็นว่า ถ้ารู้จักใช้ "ปัญญา” สาวขี้เหร่ก็เอาชนะ "ความสวย” ได้เช่นกัน
........................................................
น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท ที่ปรึกษากรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ภาพ : www.honghongworld.com